วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Tenses

Tenses

            คำว่า กาล ในพจนานุกรมมีความหมายว่า เวลา ยุค หรือสมัย เมื่อพูดหรือเขียนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเห็นได้ว่ามักจะมีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อบอกให้ทราบว่าเหตุการณ์ที่พูดถึง หรือการกระทำอยู่นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อกล่าวถึง การพูด การเขียน รวมถึงการแปลภาษา ระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พบว่าทั้งสองภาษา นั้นมีความแตกต่างกัน ทางด้านโครงสร้างของประโยค และเรื่องของเวลา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการพูด การเขียนและการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย หรือแม้แต่การตีความจากภาษาไทยกลับสู่ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะเรื่องของเวลาและกาล เพราะในโครงสร้างประโยคของภาษาไทย จะปรากฏเวลาไม่ค่อยชัดเจน และบ่อยครั้งที่ใช้คำขยายหรือสถานการณ์ประกอบทำให้เข้าใจว่า ผู้พูดหรือผู้เขียนกระทำสิ่งใดอยู่ ซึ่งเมื่อนำประโยคภาษาอังกฤษมาแปลแล้ว อาจจะมีความหมายที่คล้ายคลึงกัน แม้โครงสร้างประโยคจริงๆจะใช้เวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างจากโครงสร้างในประโยคภาษาอังกฤษ ที่บอกเวลาของการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงและเห็นได้ชัดโดยใช้ Tenses เป็นตัวบอก ระบุเวลาของเหตุการณ์ ซึ่งผู้เขียนหรือผู้พูดจะต้องทราบถึงความหมาย รูปแบบชื่อ โครงสร้างหลัก และหลักการใช้ของแต่ละ Tenses เพื่อที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง


            สิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้เขียนและผู้พูดต้องทราบคือความหมายของ Tenses  กล่าวคือ Tenses เป็นเรื่องของเวลา ของเหตุการณ์หรือการกระทำว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งอาจจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคตก็ได้ เป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์ทางภาษา ผู้พูดหรือผู้เขียนจะเลือกใช้ Tenses ตามความรู้สึกนึกคิด และความเข้าใจที่มีต่อเหตุการณ์นั้น โดยใช้การเปลี่ยนรูปกริยาเพื่อแสดงกาล ซึ่งคำกริยาเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น go went gone หรือมีปัจจัยอื่นเติมเข้ามาหลังกริยานั้น เช่น walk walked walked หลายคนมักคิดว่า Tenses เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเนื่องจากมีกฎการใช้มากมาย แบ่งเป็นหลายประเภทและยากต่อการจดจำและนำไปใช้ ซึ่งแท้จริงแล้วหากเราได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจหน้าที่และบริบทของมัน เพราะมีหลากหลายเทคนิค หลายวิธีการจดจำ อย่างเช่น การเปรียบเทียบเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆที่เกิดจริงในชีวิตประจำวันจะทำให้เห็นภาพชัดเจนและเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยต้องสามารถแบ่งประเภท รูปแบบของ Tenses ได้เพื่อง่ายต่อการจดจำ
            Tense ในภาษาอังกฤษนั้นมีจำนวนทั้งหมด 12 รูปแบบ หากจำทีละรูปแบบส่งผลทำให้ยากต่อการจดจำ ดังนั้นเพื่อให้จำง่ายขึ้น จึงนำมาจำแนกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆก่อน แล้วค่อยแยกย่อยออกไปทีละรูปแบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม Present Tense เป็นกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาปัจจุบันประกอบไปด้วย 4 tense คือ Present Simple Tense Present Continuous Tense Present Perfect Tense และ Present Perfect Continuous Tense กลุ่มที่ 2 คือกลุ่ม Past Tense เป็นกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ซึ่งประกอบไปด้วย 4 tense คือ  Past Simple Tense Past Continuous Tense Past Perfect Tense และ Past Perfect Continuous Tense ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มของ Future tense เป็นกลุ่มที่ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตประกอบไปด้วย 4 Tense ย่อยได้แก่ Future Simple Tense Future Continuous Tense Future Perfect Tense และ Future Perfect Continuous Tense  ซึ่งแต่ละรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น ซึ่งแต่ละรูปแบบมีโครงสร้างที่แตกต่างกันไป เพื่อสร้างประโยคได้ถูกต้อง
            เมื่อรู้จักรูปแบบของ Tenses ไปแล้ว จากนั้นก็มาทำความรู้จัก เข้าใจกับโครงสร้างหลัก หรือหน้าตาของ Tenses ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งมีหลักการจำอย่างง่ายดังนี้คือ จดจำตัว kernel ของมันก่อน ซึ่งนั่นก็คือตัวกริยานั่นเอง โดยจำกลุ่มของ Present Tense ก่อนซึ่งมีโครงสร้างหลักของแต่ละ Tense ดังต่อไปนี้คือ Present Simple  มีโครงสร้างคือ s.+v.1 ถัดไป Present Continuous Tense มีโครงสร้างเป็น s.+v. to be + v.ing ถัดไป Present Perfect Tense มีโครงสร้างเป็น s. + v. to have + v.3 และ Present Perfect Continuous Tense มีโครงสร้างเป็น s. + have + been + v.ing เมื่อจำโครงสร้างเหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้วเป็นโครงสร้างของกลุ่ม Past Tense ให้ผันกริยาช่วยและกริยาแท้ในโครงสร้างแรกเป็น v.2 ทั้งหมด และเมื่ออยู่ในกลุ่ม  Future Tense ให้ผันกริยากลับมาเป็น v.infinitive ทั้งหมด เพราะเมื่อสังเกตให้ดี โครงสร้างจะมีความคล้ายคลึงกันแต่แตกต่างกันตรงช่วงเวลา นอกจากนี้ต้องจดจำเรื่อง Collocating ด้วยเช่น v.ing ต้องคู่กับ v.to be เสมอเพื่อสามารถนำไปใช้ตามหลักการใช้ได้อย่างถูกต้อง
            หลักการใช้หรือลักษณะของการใช้แต่ละ Tenses มีดังต่อไปนี้ โดยเริ่มจาก Present Simple Tense ก่อนเพราะมีการใช้บ่อยมากที่สุดและง่ายที่สุด พบบ่อยมากที่สุดเพราะใช้บอกข้อเท็จจริง สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน และกฎของธรรมชาติ ต่อมาเป็นหลักการใช้ Past Simple Tense จะใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบสิ้นไปแล้ว สำหรับ Present Continuous Tense ใช้กับสถานการณ์ที่กำลังกระทำอยู่อย่างต่อเนื่อง  และ Past Continuous Tense จะใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบอกถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย  การใช้ Present Perfect Tense เหมาะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่าเคยทำอะไรบ้าง ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตดำเนินมาจนเสร็จสิ้นเมื่อครู่ เป็นผลของการกระทำที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน  และ Past Perfect Tense มีการใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน และใช้แสดงความรู้สึกปรารถนากับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในอดีต จากหลักการใช้ที่กล่าวมาจากทั้งหมด 6 รูปแบบแล้วยังมีอีก 6 รูปแบบที่มีการใช้ที่แตกต่างกันตามลำดับช่วงเวลา
            หลังจากทราบหลักการใช้ไปแล้ว 6 รูปแบบ ยังมีหลักการใช้อีก 6 รูปแบบดังต่อไปนี้ ได้แก่ หลักการใช้ Presents Perfect Continuous Tense เป็นการใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่ต้องการเน้นย้ำความต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นเกิดขึ้นในอดีต ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และการใช้ Past Perfect Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน 2 เหตุการณ์ในอดีตโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนนั้นได้เกิดต่อเนื่องมาเป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ถัดมาเป็นหลักการใช้ Future Simple Tense ซึ่งจะใช้การคาดการณ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการใช้ Future Continuous Tense ใช้เมื่อต้องการวางแผนว่าจะทำสิ่งใดในขณะนั้น โดยคาดว่าสิ่งที่จะทำนั้นมีช่วงเวลากำกับที่ชัดเจน ในส่วนของ Future Perfect Tense มีหลักการใช้เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นและดำเนินไปช่วงหนึ่ง จนสิ้นสุดลงในเวลาที่ได้กำหนด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แน่นอน และสุดท้ายเป็นหลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense ซึ่งจะใช้กับเหตุการณ์ที่คล้ายกับ Future Perfect Tense เพียงแต่เป็นการเน้นความต่อเนื่องของเวลาว่าดำเนินมานานเท่าไหร่แล้ว
            โดยสรุปแล้ว Tenses เป็นเรื่องเกี่ยวกับเวลา ใช้บอกและระบุว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต มีทั้งหมด 12 รูปแบบ และมีหลักการใช้ที่แตกต่างกันตามช่วงเวลา ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะประโยคในภาษาไทยจะไม่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน ทำให้จำเป็นที่ผู้พูดและผู้เขียนต้องมีความรู้อย่างดี เพราะหากรู้โครงสร้างและหลักการใช้ Tenses ทั้งหมดแล้ว ส่งผลให้ผู้เขียนและผู้พูดสามารถเรียกใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต้องการจะสื่อสาร ทำให้การสื่อสารมีความเข้าใจได้ตรงกันทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร สำหรับการแปลเช่นเดียวกันการแปลที่ดีนอกจากผู้แปลจะต้องมีความรู้ทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและเรื่องของ Tenses อย่างลึกซึ้งแล้ว การรู้ถึงวัฒนธรรมการใช้ภาษาของเจ้าของภาษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้แปลมีความเข้าใจในการใช้ภาษาและแปลได้ความหมายที่ตรงกับต้นฉบับมากขึ้น และเนื่องจากโครงสร้างประโยคของภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความแตกต่างกัน ส่งผลให้เมื่อแปลจึงค่อนข้างยากเพราะผู้แปลยังคงยึดติดกับภาษาแม่ หรือโครงสร้างประโยคในภาษาไทย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแปลที่มีความหมายที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากเดิมดังนั้นผู้แปลจะต้องหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนให้มีความแม่นยำในด้านของเนื้อหาและเข้าใจภาษาอย่างถ่องแท้มากยิ่งขึ้น

            

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น