การฝึกทักษะจากเรื่อง Frozen
ในชีวิตประจำวันของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าภาษาอังกฤษนั้นอยู่รอบตัวเรานั้นเอง
ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไปที่แห่งใดเราก็มักจะเห็นอยู่เสมอและมีบทบาทเข้ามามากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะข้าพเจ้าซึ่งจะไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในอนาคต
แน่นอนว่าทุกคนย่อมคาดหวังว่าครูภาษาอังกฤษจะต้องมีความรู้ดีเยี่ยมทั้งด้านไวยากรณ์ทางภาษา
และมีทักษะภาษาทั้งการฟังพูด อ่าน และเขียนที่ดีเลิศ แต่เมื่อย้อนกลับมาประเมินตนเองแล้ว
พบว่าตนเองยังด้อยในทักษะเหล่านี้มาก ดังนั้นจึงต้องพัฒนาตนเองโดยการค้นหาวิธีการต่างๆเพื่อฝึกทักษะภาษาให้กับตนเอง
โดยในสัปดาห์นี้ข้าพเจ้าเริ่มต้นที่จะพัฒนาตนเองในด้านทักษะการพูดและการฟัง
ผ่านการดูภาพยนตร์เรื่อง Frozen ซึ่งมีเรื่องย่อ
เทคนิคการฝึก และสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้มากมาย
Frozen เป็นการ์ตูนเอนิเมชั่น ความยาว 108 นาที เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหญิง
2 พี่น้องในอาณาจักรแห่งเอเรนเดลล์ คือ เอลซ่า
ซึ่งมีพลังน้ำแข็งและน้องสาว แอนนา
เอลซ่าหวาดกลัวพลังของตนเองและเอาแต่ขังตนเองในห้อง
แอนนาต้องโดดเดี่ยวมานานเพราะพี่สาวไม่ยอมพูดคุยเข้าใกล้เธอ จนมาถึงวันราชาภิเษก
ทั้งสองก็ได้พบกันและพูดคุยกันในรอบหลายปี
แต่แอนนาพาฮานส์ซึ่งได้คุยกันแค่วันเดียวมาขออนุญาตให้แต่งงานกัน เอลซ่าไม่ยอมและทะเลาะกันจนแอนนาได้ดึงถุงมือเธอออกไปทำให้พลังวิเศษถูกเปิดเผย
เอลซ่ากลัวพลังของตนเองจึงวิ่งหนีไปสร้างปราสาทใหม่
แต่ไม่รู้ว่าอาณาจักรได้ตกอยู่ท่ามกลางความเหน็บหนาว
แอนนารู้สึกผิดจึงไปตามพี่สาวกลับมาแต่โดนเสกน้ำแข็งเข้าที่หัวใจ ฮานส์จับเอลซ่าขังในคุกและขังแอนนาไว้ในห้องและบอกแอนนาว่าที่ตนทำมาทั้งหมดเพื่อต้องการครองสมบัติ
เมื่อฮานส์หมายจะฆ่าเอลซ่าแต่แอนนาก็เข้าป้องไว้แต่เธอกลายเป็นน้ำแข็ง
เอลซ่ากอดน้องสาวเพราะความเสียใจแต่นั่นทำให้แอนนาหายปกติ
และทำให้รู้ว่าความรักสามารถควบคุมพลังของเธอได้
จะเห็นได้ว่าเมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็สามารถเริ่มเข้าสู่การฝึกได้
โดยมีเทคนิคต่างๆ
ในการฝึกทักษะการฟังและการพูดจากการดูภาพยนตร์เรื่อง
Frozen นี้ ข้าพเจ้ามีเทคนิคในการฝึกโดยในการดูภาพยนตร์รอบแรกข้าพเจ้าเปิดโดยไม่มีคำบรรยายภาษาไทยด้านล่าง
ฟังภาษาอังกฤษอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องโดยข้าพเจ้าจะฟังและพยายามทำความเข้าใจเรื่องราวผ่านภาพก่อน
ในขณะที่ดูนั้นเมื่อเห็นบทสนทนาบางตอนก็หยุดและลองพูดตาม ประโยค 2 - 3 ครั้งและกดดูซ้ำเพื่อฟังสำเนียงน้ำเสียงของผู้พูดว่าควรใช้อารมณ์ไหน
เมื่อดีใจหรือเสียใจจะใช้น้ำเสียงอย่างไร โดยไม่ต้องสนใจความหมายของภาษามากนัก
แต่เมื่อดูรอบที่สองให้เปิดพร้อมคำบรรยายภาษาไทย
หรือถ้าให้ดีก็ควรเปิดคำบรรยายภาษาอังกฤษไปด้วยเพื่อที่จะได้เห็นรูปประโยค และจะทำให้เห็นได้ชัดมากขึ้นว่าตัวละครนั้นพูดคำว่าอะไรบ้าง
เนื่องจากคำบางคำข้าพเจ้าฟังไม่ออกว่าตัวละครนั้นพูดอะไร
และเมื่อเห็นประโยคที่น่าสนใจก็ให้จดบันทึกไว้ลงในสมุดซึ่งการดูภาพยนตร์ในรอบที่สองจะเป็นการดูเพื่อความเข้าใจและสังเกตความหมายของประโยคต่างๆ
ซึ่งในการดูเรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้อะไรหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น
จากการได้ฟังภาษาอังกฤษจากการดูภาพยนตร์ทำให้ข้าพเจ้าได้ความรู้เพิ่มเติมมาเล็กน้อย
เช่น ภาษาที่เขาใช้พูดกันจริงๆ เช่นคำว่า Why not? หรือ What’s
going on? ที่แปลว่าเกิดอะไรเกิดขึ้น หรือสำนวนภาษาเช่น
การเรียกเจ้าหญิงใช้คำว่าฝ่าพระบาทในภาษาอังกฤษใช้คำว่า majesty คำว่าขอตัวก่อนในภาษาอังกฤษใช้คำว่า excuse me a moment ได้ฝึกการพูดตามตัวละครซึ่งในแต่ละประโยคจะเน้นหนักของคำคำ มีการ Link
คำมีการขึ้นเสียงสูงหรือต่ำเมื่อพูดจบประโยค
เมื่อมาดูทางความหมายในประโยคของเรื่องนี้ มีหลายคำพูดที่มีความหมายดี ให้ข้อคิด
และได้ให้ความประทับใจ เช่น “Love is putting someone else’s need before
yours.” มีความหมายว่า ความรักคือการใส่ใจในความต้องการของคนอื่นก่อนความต้องการของตนเอง
“Getting upset only makes it worse clam down” มีความหมายว่า
อารมณ์เสียมีแต่จะทำให้มันแย่ลง ใจเย็นๆ เป็นต้น
จากการฝึกครั้งนี้
ด้วยวิธีการดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ
ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นวิธีการที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะนอกจากเราจะได้ฝึกทักษะทางด้านภาษาไปแล้วเรายังได้ความบันเทิงจากการเดินดูภาพยนตร์อีกด้วย
ซึ่งเป็นการผ่อนคลายไปในตัวเพราะหากฟังข่าวหรือวิทยุจะทำให้รู้สึกเครียดและน่าเบื่อ
การฝึกวิธีนี้ทำให้ได้ฟังสำเนียง การใช้สำนวนภาษาของเจ้าของภาษาจริงๆ
ทั้งนี้ในการฝึกจะใช้เวลานาน ผู้ชมผู้ฟังต้องฟังอย่างตั้งใจไม่วอกแวก ไม่ควรดูรวดเดียวจบ
ค่อยๆดูไปเรื่อยๆ เพราะเราต้องใช้สมาธิในการดูและฟังมากกว่าปกติ
ในการฝึกพูดก็ควรพูดออกเสียงและทำซ้ำ 2 - 3 รอบ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เราจดจำได้ดียิ่งขึ้น
ในการฝึกครั้งนี้ทำให้เห็นถึงทักษะของตนเองที่ยังต้องหมั่นฝึกฝนอีกเยอะ
เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านภาษาอังกฤษที่ดียิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น